การนับโทษต่อ
ประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๒๒ โทษจำคุก
ให้เริ่มแต่วันมีคำพิพากษา แต่ถ้าผู้ต้องคำพิพากษาถูกคุมขังก่อนศาลพิพากษา
ให้หักจำนวนวันที่ถูกคุมขังออกจากระยะเวลาจำคุกตามคำพิพากษา
เว้นแต่คำพิพากษานั้นจะกล่าวไว้เป็นอย่างอื่น
ในกรณีที่คำพิพากษากล่าวไว้เป็นอย่างอื่น
โทษจำคุกตามคำพิพากษาเมื่อรวมจำนวนวันที่ถูกคุมขังก่อนศาลพิพากษาในคดีเรื่องนั้นเข้าด้วยแล้ว
ต้องไม่เกินอัตราโทษขั้นสูงของกฎหมายที่กำหนดไว้สำหรับความผิดที่ได้กระทำลงนั้น
ทั้งนี้ ไม่เป็นการกระทบกระเทือนบทบัญญัติในมาตรา ๙๑
มาตรา ๙๑
เมื่อปรากฏว่าผู้ใดได้กระทำการอันเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน
ให้ศาลลงโทษผู้นั้นทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป แต่ไม่ว่าจะมีการเพิ่มโทษ ลดโทษ
หรือลดมาตราส่วนโทษด้วยหรือไม่ก็ตาม เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้ว
โทษจำคุกทั้งสิ้นต้องไม่เกินกำหนดดังต่อไปนี้
(๑) สิบปี
สำหรับกรณีความผิดกระทงที่หนักที่สุดมีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงไม่เกินสามปี
(๒) ยี่สิบปี
สำหรับกรณีความผิดกระทงที่หนักที่สุดมีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงเกินสามปีแต่ไม่เกินสิบปี
(๓) ห้าสิบปี
สำหรับกรณีความผิดกระทงที่หนักที่สุดมีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงเกินสิบปีขึ้นไป
เว้นแต่กรณีที่ศาลลงโทษจำคุกตลอดชีวิต
หมายเหตุ
ฎีกาที่ ๑๘๓๑/๒๕๕๗
ป.อ. มาตรา ๒๒ วรรคแรก
เป็นบทบัญญัติที่กำหนดหลักเกณฑ์ในการบังคับโทษจำคุกจำเลยว่าให้เริ่มนับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา
โดยมีข้อยกเว้นในกรณีที่ศาลจะมีคำพิพากษาเป็นอย่างอื่น
ซึ่งวันมีคำพิพากษาตามบทบัญญัติดังกล่าวหมายถึงวันที่ศาลอ่านคำพิพากษาโดยเปิดเผยตาม
ป.วิ.อ. มาตรา ๑๘๒ และ ๑๘๘ โดยคำพิพากษาไม่จำเป็นต้องถึงที่สุด เพราะเมื่อศาลมีคำพิพากษาแล้วจำเลยย่อมต้องถูกบังคับโทษตามคำพิพากษานั้น
แม้ต่อมาภายหลังศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกาจะแก้โทษจำคุกก็ไม่มีผลต่อวันเริ่มโทษจำคุกแต่อย่างใด
คดีนี้ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาให้จำเลยฟังแล้ว โดยให้ลงโทษจำคุกจำเลยตลอดชีวิต
และนับโทษจำเลยต่อจากโทษจำคุกจำเลยในคดีอาญาอื่น ย่อมมีความหมายว่าคำพิพากษาได้กล่าวถึงเวลาเริ่มบังคับโทษจำคุกไว้เป็นอย่างอื่น
ดังนั้น
การเริ่มนับโทษจำคุกจำเลยจึงต้องเริ่มนับเมื่อจำเลยได้รับโทษจำคุกในคดีอาญาอื่นครบถ้วนแล้ว
แม้ต่อมาศาลฎีกามีคำพิพากษาแก้โทษของจำเลยเหลือเพียง ๓๖ ปี ๘ เดือน
แต่ก็ยังคงให้นับโทษจำคุกจำเลยต่อจากโทษจำคุกของจำเลยในคดีอาญาดังกล่าว
จึงไม่มีผลต่อวันเริ่มนับโทษจำคุกของจำเลย
หมายเหตุ ตามมาตรา
๒๒ คำว่า นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา หมายถึง ศาลชั้นต้น
คดีที่ขอให้นับโทษต่อยังไม่ได้มีคำพิพากษาหรือมีคำพิพากษาในภายหลัง
นับโทษต่อไม่ได้
ฎีกาที่ ๑๙๖๘/๒๕๖๒
การนับโทษต่อจากสำนวนคดีเรื่องใดจะต้องปรากฏว่าคดีเรื่องนั้นศาลได้พิพากษาลงโทษจำเลยไว้ก่อนแล้ว
คดีเรื่องหลังจึงจะนับโทษต่อจากกำหนดโทษในสำนวนคดีเรื่องก่อนได้
แต่คดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อนั้น ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ ๒๖ มีนาคม
๒๕๕๗ ภายหลังจากศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค ๖ มีคำพิพากษาคดีนี้
กรณีจึงไม่อาจนับโทษคดีนี้ต่อจากโทษในคดีดังกล่าวได้
เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏชัดแจ้งพอที่จะวินิจฉัยได้
จึงไม่มีความจำเป็นที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๖
จะต้องสั่งให้ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องเสียก่อน ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๖ พิพากษาให้แก้ไขหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดเสียใหม่เป็นไม่นับโทษต่อจึงชอบแล้ว
และไม่ถือว่าเป็นการแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงคำพิพากษาซึ่งถึงที่สุดแต่อย่างใด
เพราะเป็นเรื่องของการบังคับคดีที่ศาลจะต้องออกหมายบังคับคดีถึงที่สุดให้ถูกต้อง
หมายเหตุ
คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๕๖, คดีที่ขอให้นับโทษต่อมีคำพิพากษาเมื่อวันที่
๒๖ มีนาคม ๒๕๕๗
ศาลชั้นต้นยกคำขอให้นับโทษต่อเนื่องจากคดีที่ขอให้นับโทษต่อยังไม่ได้มีคำพิพากษา
แต่ถ้าโจทก์อุทธรณ์ขอให้นับโทษต่อแล้วปรากฏว่าคดีที่ขอให้นับโทษต่อมีคำพิพากษาจำคุกแล้ว
ศาลสูงให้นับโทษต่อได้
ฎีกาที่ ๒๑๖๕/๒๕๒๘
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยกคำขอให้นับโทษต่อ เพราะคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อนั้น
ศาลยังไม่ได้พิพากษา ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา
และปรากฏว่าคดีดังกล่าวศาลได้พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยแล้วจริง ดังนี้
ศาลฎีกาพิพากษาให้นับโทษต่อได้
การฟ้องหลายคดี
ไม่อยู่ในบังคับมาตรา ๙๑
ฎีกาที่ ๔๖๕๖/๒๕๔๐
บทบัญญัติตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑
ใช้ในกรณีที่ศาลมีคำพิพากษาอันเดียวกัน
ในคำฟ้องคดีเดียวที่รวมเอาความผิดหลายกระทงไว้ด้วยกันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา ๑๖๐ หรือคำฟ้องหลายคดีที่พิจารณาพิพากษารวมกัน
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๕
ซึ่งปรากฏว่าจำเลยกระทำผิดหลายกรรมต่างกันก็ให้ศาลลงโทษจำเลยทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปโดยมีข้อยกเว้นว่า
เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้วโทษจำคุกทั้งสิ้นต้องไม่เกินกำหนดตามที่ระบุไว้ในประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๙๑ วรรคท้าย ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา
๙๑มิได้บัญญัติห้ามว่าการนับโทษจำคุกของจำเลยในคดีหนึ่งต่อจากคดีอื่นของจำเลยที่มีคำฟ้องและคำพิพากษาต่างสำนวนต่างหากออกไป
เมื่อนับรวมกันแล้วจะเกินกำหนดในมาตรา ๙๑ ไม่ได้
ซึ่งการขอให้นับโทษจำคุกของจำเลยในคดีหนึ่งต่อจากโทษจำคุกของจำเลยในคดีอื่น
เป็นการขอให้ศาลกล่าวไว้เป็นอย่างอื่นในคำพิพากษาเกี่ยวกับการเริ่มนับโทษจำคุกของจำเลยในคดีนั้นว่าจะให้เริ่มนับแต่เมื่อใดซึ่งหากไม่กล่าวไว้เป็นอย่างอื่นก็จะต้องเริ่มแต่วันมีคำพิพากษา
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๒ วรรคหนึ่ง
จึงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาลว่าสมควรให้นับโทษต่อหรือไม่เพียงใด
และมิได้อยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ ซึ่งเป็นคนละเรื่องกัน
คดีนี้และคดีก่อนเป็นเรื่องที่จำเลยกระทำผิดทุจริตเบียดบังค่าธรรมเนียมและค่าคำขอในการทำนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดินจากส่วนราชการของกรมที่ดิน
หน่วยราชการซึ่งเป็นผู้เสียหายก็คือกรมที่ดินรายเดียวกัน
สำนวนการสอบสวนของคดีนี้และคดีก่อนก็เป็นสำนวนเดียวกัน
โจทก์สามารถฟ้องจำเลยสำหรับการกระทำความผิดคดีนี้และคดีดังกล่าวเป็นคดีเดียวกันได้
เพราะโจทก์จำเลยเป็นคนเดียวกัน และพยานก็เป็นชุดเดียวกัน แต่ถ้าโจทก์แยกฟ้องจำเลยแต่ละกระทงความผิดเป็นรายสำนวนไป
และศาลมีคำสั่งให้พิจารณาพิพากษาคดีทุกสำนวนรวมกัน
ศาลก็จะลงโทษจำเลยได้ไม่เกินกำหนดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑
เหตุที่ต้องฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้อีกเพราะเกิดความผิดพลาดในการดำเนินคดี
และศาลชั้นต้นไม่มีโอกาสสั่งให้คดีก่อนพิจารณาพิพากษารวมกัน
ประกอบกับคดีก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยรวมเต็มตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ในมาตรา
๙๑
หากให้นับโทษจำคุกของจำเลยในคดีนี้ต่อจากโทษจำคุกของจำเลยในคดีก่อนก็จะทำให้จำเลยต้องโทษจำคุกหนักขึ้น
โดยเกินกว่าระยะเวลาที่กำหนดไว้ในมาตรา ๙๑ เพียงเพราะความผิดพลาดในการดำเนินคดี
จึงไม่มีเหตุสมควรให้นับโทษจำคุกของจำเลยคดีนี้ต่อจากโทษจำคุกของจำเลยในคดีก่อน
การขอให้นับโทษต่อ
คดีแรกกับคดีหลังต้องไม่เกี่ยวพันกัน นับโทษต่อได้
ฎีกาที่
๔๖๒๐-๔๖๒๑/๒๕๔๓
คดีสำนวนแรกและสำนวนหลังมิได้เกี่ยวพันกันไม่อาจฟ้องเป็นคดีเดียวกันหรือรวมการพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกันได้
แม้ทั้งสองคดีศาลต่างลงโทษจำคุกตลอดชีวิต ก็สามารถนับโทษต่อกันได้
ไม่ขัดต่อประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑(๓)
ฎีกาที่
๑๔๖๕๓-๑๔๖๕๔/๒๕๕๕ โจทก์มีคำขอให้นับโทษจำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ติดต่อกันทั้งสองสำนวน
แม้เป็นคดีที่รวมพิจารณาเข้าด้วยกัน
และศาลลงโทษจำคุกตลอดชีวิตทั้งสองสำนวนก็นับโทษต่อกันได้
คดีแรกกับคดีหลังเป็นการกระทำความผิดเดียวกันหรือเกี่ยวพันกัน
นับโทษต่อไม่ได้
ฎีกาที่ ๓๘๖๔/๒๕๔๓
คดีนี้กับคดีก่อนมีลักษณะแห่งคดีและความผิดเป็นอย่างเดียวเกี่ยวพันกัน
จำเลยและผู้เสียหายเป็นบุคคลคนเดียวกัน
โจทก์จึงอาจจะฟ้องคดีทั้งสองสำนวนเป็นคดีเดียวกัน
แต่ปรากฏว่าโจทก์แยกฟ้องคดีนี้กับคดีก่อนโดยศาลชั้นต้นมิได้สั่งรวมการพิจารณาคดีทั้งสองสำนวนเข้าด้วยกันดังนี้
เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองทุกกรรมและจำคุกจำเลยทั้งสองมีกำหนด ๒๐
ปีเต็มตามที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑(๒) ในคดีก่อนแล้ว
ศาลชั้นต้นย่อมไม่อาจนำโทษของจำเลยทั้งสองในคดีนี้ไปนับต่อกับโทษของจำเลยทั้งสองในคดีก่อนของศาลชั้นต้นได้
เพราะจะทำให้จำเลยทั้งสองต้องรับโทษจำคุกเกินกำหนดที่ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑(๒)
บัญญัติไว้
ฎีกาที่ ๙๒๙/๒๕๔๘
ในวันเกิดเหตุเจ้าพนักงานตำรวจเฝ้าดักจับจำเลยทั้งสองได้ขณะจำเลยทั้งสองขับรถถึงด่านเก็บเงินที่เกิดเหตุ
และนำไปตรวจค้นพบเฮโรอีน ๑๔ ถุง ต่อมาจึงนำจำเลยที่ ๑
ไปตรวจค้นที่บ้านพักและพบเฮโรอีนอีกส่วนหนึ่ง
แต่มีการสอบสวนโดยแยกสำนวนจากกันเนื่องจากเป็นความผิดคนละกรรมและที่เกิดเหตุอยู่คนละท้องที่
กรณีความผิดของจำเลยที่ ๑
ทั้งสองสำนวนจึงเกี่ยวพันที่อาจถูกฟ้องคดีเดียวกันและอาจพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกันได้
เมื่อคดีหนึ่งศาลพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกตลอดชีวิต
การที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้นับโทษจำคุกคดีนี้ต่อจากคดีดังกล่าว
จึงเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจที่จะแก้ไขให้ถูกต้องได้
ฎีกาที่ ๑๗๔๓/๒๕๔๘
ขณะที่จำเลยกระทำความผิดในคดีนี้และคดีก่อนทั้งยี่สิบหกคดี
จำเลยเป็นกรรมการกองทุนหมู่บ้าน บ. ซึ่งได้รับความเสียหายด้วยในทุกคดี
โดยจำเลยถือโอกาสที่เป็นกรรมการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพย์และเอกสาร
โดยมีเจตนาเพื่อเบียดบังเอาเงินของสมาชิกกองทุนหมู่บ้าน บ.
ที่มอบหมายให้จำเลยนำไปชำระหนี้กองทุนหมู่บ้าน บ. ไปเป็นประโยชน์ส่วนตน
ลักษณะแห่งคดีและความผิดเป็นอย่างเดียวกัน ทั้งความผิดปรากฏเมื่อเดือนมิถุนายน
๒๕๔๖
พนักงานสอบสวนอาจสอบสวนความผิดทุกสำนวนแล้วเสนอความเห็นและส่งสำนวนไปยังโจทก์พร้อมกันได้
ซึ่งโจทก์อาจยื่นฟ้องจำเลยทุกกระทงความผิดเป็นสำนวนเดียวกันได้
คดีนี้และคดีดังกล่าวทั้งยี่สิบหกคดีจึงมีความเกี่ยวพันกันจนอาจฟ้องเป็นคดีเดียวกันได้
ตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๑๖๐ วรรคหนึ่ง
เมื่อคดีนี้ความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอม
ซึ่งเป็นกระทงที่หนักที่สุดมีอัตราโทษอย่างสูงเกิน ๓ ปี แต่ไม่เกิน ๑๐ ปี
การนับโทษต่อจึงต้องอยู่ในบังคับของ ป.อ. มาตรา ๙๑ (๒)
รวมโทษจำคุกทุกกระทงแล้วจะเกินกว่า ๒๐ ปี ไม่ได้
เมื่อศาลลงโทษจำคุกจำเลยคดีทั้งยี่สิบหกคดีติดต่อกันมีกำหนด ๒๐ ปีแล้ว
จึงไม่อาจนับโทษจำคุกจำเลยคดีนี้ต่อจากโทษคดีก่อนได้
ถ้าเป็นความผิดกรรมเดียวตามมาตรา
๙๐ ไม่ต้องพิจารณาตามมาตรา ๙๑ อีก
ฎีกาที่ ๔๔๐๙/๒๕๔๓
การที่จำเลยที่ ๑ บุกรุกเข้าไปในที่ดินของผู้เสียหาย
แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าจำเลยที่ ๑
มีความมุ่งหมายที่จะเข้าไปตัดโค่นต้นยางพาราซึ่งอยู่ในที่ดินดังกล่าวแล้วนำออกไปจากที่ดินโดยใช้รถยนต์บรรทุกสิบล้อบรรทุกต้นยางพาราไปจึงเป็นการกระทำที่มีเจตนาเดียวต่อเนื่องกันตลอดมาไม่ขาดตอนอันเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๙๐ หาใช่เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันตามมาตรา ๙๑ ดังที่โจทก์กล่าวอ้างไม่
แม้คดีที่ขอให้นับโทษต่อยังไม่ถึงที่สุด(คดีแรก)
แต่ศาลใดศาลหนึ่ง(ศาลชั้นต้นหรือศาลสูง)ได้พิพากษาลงโทษจำคุกแล้ว ก็นับโทษต่อได้
ฎีกาที่ ๑๔๐๔/๒๕๔๗
เมื่อคดีอาญาอีกคดีหนึ่งของศาลจังหวัดชลบุรีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค
๒ หากศาลอุทธรณ์ภาค ๒
ยังมิได้มีคำพิพากษาเปลี่ยนแปลงโดยพิพากษาแก้หรือกลับผลของคำพิพากษาศาลจังหวัดชลบุรีแล้ว
จำเลยยังคงต้องถูกบังคับตามโทษในคดีอาญาดังกล่าว ศาลชั้นต้นชอบที่จะนับโทษจำคุกของจำเลยในคดีนี้ต่อจากโทษในคดีนั้นต่อไปจนกว่าผลของคำพิพากษาอันถึงที่สุดของศาลนั้นจะเปลี่ยนแปลงไป
ฎีกาที่ ๑๐๘๙/๒๕๕๐
เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติได้ว่าจำเลยเป็นบุคคลเดียวกับจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่
๙๖๔/๒๕๔๖ ของศาลชั้นต้น ซึ่งศาลพิพากษาให้จำคุก ๔ ปี ๖ เดือน
จำเลยยังต้องถูกบังคับตามคำพิพากษาอยู่
แม้คดีดังกล่าวจะยังไม่ถึงที่สุดและอยู่ในระหว่างอุทธรณ์
ก็ไม่ใช่เหตุที่จะนำมานับโทษจำคุกต่อไม่ได้
ฎีกาที่ ๕๑๗๐/๒๕๕๒
จำเลยเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยที่ ๑ ในคดีอาญาของศาลจังหวัดขอนแก่น
ซึ่งศาลพิพากษาให้จำคุก ๓ ปี จำเลยยังต้องถูกบังคับตามคำพิพากษาอยู่
แม้คดีดังกล่าวจะยังไม่ถึงที่สุดและอยู่ในระหว่างอุทธรณ์
ศาลก็สามารถนับโทษจำคุกจำเลยต่อจากโทษในคดีดังกล่าวได้
คดีที่ขอให้นับโทษต่อจำเลยได้พ้นโทษไปแล้วถือว่าไม่มีโทษจำคุก
นับโทษต่อไม่ได้
ฎีกาที่ ๓๓๓๒/๒๕๓๑
คดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อนั้น ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลย ๓ ปี ๔ เดือน
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นจำคุกจำเลย ๘
เดือนจำเลยถูกคุมขังพอแก่โทษศาลชั้นต้นให้ปล่อยตัวไป
แม้โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา
แต่ไม่ปรากฏว่าศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาแล้วจึงยังไม่มีโทษจำคุกที่จะนับต่อให้
ศาลจึงไม่อาจนับโทษต่อให้ได้
คดีที่ขอให้นับโทษต่อ
ศาลมีคำพิพากษาประหารชีวิต นับโทษต่อไม่ได้
ฎีกาที่ ๑๕๑๘/๒๕๖๕
คดีนี้ศาลพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย แต่เมื่อคดีก่อนศาลฎีกาลงโทษประหารชีวิตจำเลย
จึงไม่มีโทษจำคุกที่จะให้นับต่อกันได้ตาม ป.อ. มาตรา ๒๒ วรรคหนึ่ง
และโดยสภาพของโทษประหารชีวิตกับโทษจำคุกนั้นก็ไม่อาจนับโทษต่อกันได้
หลักเกณฑ์ของมาตรา
๙๑ ประการหนึ่งคือ ต้องเป็นลักษณะของความผิดที่เกี่ยวพันกันหรือคดีที่เกี่ยวพันกัน
ฎีกาที่ ๒๙๔๑/๒๕๔๔
คดีที่จะอยู่ภายใต้บังคับประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ (๑)
ซึ่งมีการจำกัดในการลงโทษในความผิดหลายกรรมต่างกัน เมื่อรวมกันแล้วจะต้องไม่เกิน
๑๐ ปี นั้น
หมายถึงคดีที่จำเลยกระทำความผิดหลายกรรมแล้วโจทก์ฟ้องเป็นคดีเดียวกันหรือคดีที่เกี่ยวพันกัน
สามารถรวมการพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกันได้
เนื่องจากลักษณะของความผิดที่กระทำนั้นเกี่ยวพันกัน แต่โจทก์แยกฟ้องมาหลายคดี
จำเลยที่ ๑
ออกเช็คชำระหนี้ค่าซื้อพลอยให้แก่โจทก์ร่วมหลายครั้งและยักยอกทรัพย์โจทก์ร่วมเป็นการกระทำผิดหลายกรรมต่างกัน
เมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยที่ ๑ เป็นคดี จึงอยู่ภายใต้บังคับประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑
(๑) ในเรื่องการจำกัดระยะเวลาในการลงโทษจำคุก
ฎีกาที่ ๓๑๗๘/๒๕๖๕
ป.อ. มาตรา ๙๑
ให้อำนาจศาลพิพากษาลงโทษผู้กระทำความผิดทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปและกรณีที่ความผิดกระทงที่หนักที่สุดมีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงเกินสามปีแต่ไม่เกินสิบปี
รวมโทษจำคุกทั้งสิ้นแล้วต้องไม่เกินยี่สิบปีนั้น เป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับการลงโทษจำคุกในกรณีกระทำความผิดหลายกรรมที่เกี่ยวพันกันและโจทก์ได้ฟ้องจำเลยเป็นคดีเดียวกันตาม
ป.วิ.อ. มาตรา ๑๖๐ วรรคหนึ่ง
หรือกรณีที่จำเลยถูกฟ้องหลายคดีและคดีแต่ละคดีเป็นคดีที่เกี่ยวพันกันจนศาลได้มีคำสั่งรวมพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกัน
และรวมถึงคดีที่เกี่ยวพันกันแต่โจทก์กลับแยกฟ้องจำเลยเป็นหลายคดีและไม่มีการรวมพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกัน
จึงจะอยู่ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติ ป.อ. มาตรา ๙๑ (๒)
คดีอาญาหมายเลขแดงที่
๑๐๖๖/๒๕๖๒ นั้น
ข้อเท็จจริงได้ความตามสำเนาคำพิพากษาของศาลชั้นต้นเอกสารท้ายคำแถลงข้อเท็จจริงประกอบการพิจารณาฉบับลงวันที่
๖ ธันวาคม ๒๕๖๒ ของโจทก์ว่า คดีดังกล่าวเป็นคดีที่โจทก์ที่ ๒
คดีนี้เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองคดีนี้เป็นจำเลยในความผิดฐานร่วมกันเป็นผู้ได้รับมอบหมายให้จัดการทรัพย์สินกระทำผิดหน้าที่และฐานร่วมกันเอาไปเสียซึ่งเอกสารของผู้อื่น
แม้ข้อหาความผิดที่ฟ้องจะเป็นอย่างเดียวกับคดีนี้ แต่เมื่อโจทก์ซึ่งเป็นผู้เสียหายในคดีเป็นคนละรายกันกับคดีนี้และพยานหลักฐานในคดีเป็นคนละชุดกัน
จึงไม่เป็นคดีที่เกี่ยวพันกัน ไม่อาจฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีเดียวกันหรือรวมพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกันกับคดีนี้ได้ เมื่อศาลมีคำพิพากษาแต่ละคดีและให้นับโทษต่อกันตาม ป.อ. มาตรา ๒๒
แม้มีกำหนดระยะเวลาจำคุกเกินยี่สิบปี ก็พิพากษาให้บังคับเช่นนั้นได้
กรณีไม่เป็นการต้องห้ามตาม ป.อ. มาตรา ๙๑ (๒) ที่ศาลอุทธรณ์ไม่นับโทษจำเลยที่ ๑
ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๑๐๖๖/๒๕๖๒ ของศาลชั้นต้นนั้น เป็นการไม่ชอบ
คดีอาญาหมายเลขแดงที่
๑๒๔๒/๒๕๖๒ นั้น
ข้อเท็จจริงปรากฏตามสำเนาคำพิพากษาของศาลชั้นต้นเอกสารท้ายคำแก้อุทธรณ์ของโจทก์ที่
๑ ว่า คดีดังกล่าวและคดีนี้มีโจทก์และจำเลยเป็นคู่ความเดียวกัน
แม้วันเวลากระทำความผิดจะแตกต่างกัน แต่ก็เป็นเรื่องที่จำเลยทั้งสองซึ่งได้รับมอบหมายจากโจทก์ที่
๑ ให้เป็นผู้จัดทำบัญชีและนําเงินไปเสียภาษีแทน
กระทำการทุจริตเบียดบังเอาเงินที่มอบให้นําไปเสียภาษีไป
และจำเลยทั้งสองไม่คืนเอกสารสำคัญเกี่ยวกับการทำบัญชีและเสียภาษีแก่โจทก์ที่ ๑
เช่นเดียวกับคดีนี้ ดังนั้น เมื่อคดีมีคู่ความเดียวกัน ลักษณะแห่งคดีและความผิดเป็นอย่างเดียวเกี่ยวพันกัน
โจทก์ที่ ๑
อาจฟ้องจำเลยทั้งสองสำหรับความผิดคดีนี้และคดีที่ขอให้นับโทษคดีนี้ต่อเป็นคดีเดียวกันได้
แต่โจทก์ที่ ๑ แยกฟ้องคดีนี้เป็นอีกคดีหนึ่ง แยกต่างหากจากคดีอาญาหมายเลขแดงที่
๑๒๔๒/๒๕๖๒ ดังกล่าวโดยศาลมิได้สั่งรวมพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกัน
เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยที่ ๑ ในคดีนี้ทุกกรรมโดยจำคุกจำเลยที่ ๑ มีกำหนด
๒๐ ปี เต็มตามกำหนดไว้ใน ป.อ. มาตรา ๙๑ (๒) แล้ว ย่อมไม่อาจนําโทษของจำเลยที่ ๑
ในคดีนี้ไปนับโทษต่อจากโทษของจำเลยที่ ๑ ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๑๒๔๒/๒๕๖๒ ของศาลชั้นต้นได้เพราะจะทำให้จำเลยที่
๑ ต้องได้รับโทษจำคุกเกินกำหนดที่ ป.อ. มาตรา ๙๑ (๒) บัญญัติไว้
ฎีกาที่
๗๐๐๕-๗๐๐๗/๒๕๕๑ การนับโทษต่อจากโทษในคดีอื่นได้ไม่เกิน ๕๐ ปี ตาม ป.อ. มาตรา ๙๑
(๓) นั้น ต้องเป็นกรณีที่จำเลยกระทำความผิดหลายกรรมและถูกฟ้องเป็นคดีเดียวกัน
หรือในกรณีที่จำเลยถูกฟ้องหลายคดี
แต่ละคดีเป็นคดีที่เกี่ยวพันกันและศาลได้มีคำสั่งให้รวมการพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกัน
ซึ่งคดีที่เกี่ยวพันกันนั้นโจทก์ควรจะฟ้องจำเลยเป็นคดีเดียวกันหรือควรจะมีการรวมการพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกัน
แต่โจทก์กลับแยกฟ้องเป็นหลายคดีและไม่มีการรวมพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกัน
แต่สำหรับคดีทั้งสามสำนวนนี้จำเลยกระทำความผิดต่อผู้เสียหายต่างคนกัน
คดีแต่ละสำนวนไม่เกี่ยวพันกันและไม่อาจฟ้องเป็นคดีเดียวกันได้
แม้จะรวมการพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกันก็เป็นเพราะจำเลยเป็นบุคคลเดียวกันและพยานหลักฐานชุดเดียวกันอันเป็นการสะดวกในการพิจารณาพิพากษาคดีเท่านั้น
ดังนั้น ศาลย่อมนับโทษจำคุกจำเลยติดต่อกันอันทำให้จำเลยต้องโทษจำคุกทุกคดีเกิน ๕๐
ปี ได้ หาอยู่ในบังคับของ ป.อ. มาตรา ๙๑ (๓) ไม่
ฎีกาที่ ๓๒๗๖/๒๕๔๗
ป.อ. มาตรา ๙๑ (๒)
เป็นบทบัญญัติให้อำนาจศาลพิพากษาลงโทษผู้กระทำความผิดทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป
และกรณีที่ความผิดกระทงที่หนักที่สุดมีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงเกิน ๓ ปี แต่ไม่เกิน
๑๐ ปี รวมโทษจำคุกทั้งสิ้นแล้วต้องไม่เกิน ๒๐ ปี นั้น เป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับการลงโทษจำคุกในกรณีกระทำความผิดหลายกรรมที่เกี่ยวพันกันและโจทก์ได้ฟ้องจำเลยเป็นคดีเดียวตาม
ป.วิ.อ. มาตรา ๑๖๐
หรือคดีที่เกี่ยวพันกันหรือควรจะมีการรวมพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกัน
แต่โจทก์ได้แยกฟ้องเป็นหลายคดีและไม่มีการรวมพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกัน หรือเป็นกรณีที่จำเลยถูกฟ้องหลายคดีที่เกี่ยวพันกันจนศาลมีคำสั่งให้รวมพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกันตาม
ป.วิ.อ. มาตรา ๒๕ จึงจะต้องอยู่ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติ ป.อ. มาตรา ๙๑ (๒)
แต่การกระทำความผิดของจำเลยในคดีนี้กับคดีที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้นับโทษต่อทั้ง ๑๕
คดีนั้น
ไม่เกี่ยวพันกันจนอาจจะฟ้องรวมกันเป็นคดีเดียวกันได้หรือจะรวมพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกันได้
เมื่อศาลมีคำพิพากษาแต่ละคดีและให้นับโทษต่อกันตาม ป.อ. มาตรา ๒๒
แล้วมีกำหนดระยะเวลาจำคุกเกินกว่า ๒๐ ปี ก็ย่อมพิพากษาให้บังคับเช่นนี้ได้
กรณีเช่นนี้ไม่อยู่ในบังคับตาม ป.อ. มาตรา ๙๑ (๒)
ฎีกาที่ ๑๕๑๓/๒๕๓๗
การนับโทษต่อจากโทษในคดีอื่นได้ไม่เกิน ๕๐ ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑(๓)
นั้น ต้องเป็นกรณีที่จำเลยกระทำผิดหลายกรรมและถูกฟ้องเป็นคดีเดียวกัน
หรือในกรณีที่จำเลยถูกฟ้องหลายคดี
และเป็นคดีที่เกี่ยวพันกันจนศาลได้มีคำสั่งให้รวมการพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกัน คดีที่เกี่ยวพันกันซึ่งโจทก์ควรจะฟ้องจำเลยเป็นคดีเดียวกัน
หรือควรจะมีการรวมการพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกันแต่โจทก์กลับแยกฟ้องเป็นหลายคดี
และไม่มีการรวมพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกัน
แต่สำหรับคดีนี้และคดีอื่นที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อกันนั้น
แต่ละคดีมีวันเวลาสถานที่เกิดเหตุและผู้เสียหายต่างกันเป็นคดีที่ไม่เกี่ยวพันกัน
ไม่อาจฟ้องเป็นคดีเดียวกันหรือรวมการพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกันได้
จึงนับโทษจำคุกจำเลยทั้งสองติดต่อกันเกินกว่า ๕๐ ปีได้
ฎีกาที่ ๘๕/๒๕๓๖
ป.อ. มาตรา ๙๑(๒)
เป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับการลงโทษจำคุกจำเลยในกรณีจำเลยกระทำความผิดหลายกรรม
แต่ถูกฟ้องเป็นคดีเดียวหรือกรณีจำเลยถูกฟ้องหลายคดีแต่เป็นคดีที่เกี่ยวพันกันจนศาลได้มีคำสั่งให้รวมพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกัน
และรวมถึงคดีที่เกี่ยวพันกันซึ่งโจทก์กลับแยกฟ้องเป็นหลายคดีและไม่มีการรวมพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกัน
เมื่อโจทก์จำเลยเป็นคู่ความเดียวกัน แต่ปรากฏว่า
ฐานความผิดตามที่ฟ้องในคดีที่สี่และพยานหลักฐานที่จะต้องนำสืบแตกต่างกับสามคดีแรก
และความผิดตามที่ฟ้องในคดีที่หกนั้นเป็นความผิดที่จำเลยได้กระทำขึ้นในบริษัท ค.
ซึ่งไม่ใช่บริษัทที่จำเลยได้กระทำความผิดในคดีอื่น ๆ
คดีที่สี่และที่หกจึงเป็นคดีที่ไม่เกี่ยวพันกัน
ไม่อาจฟ้องจำเลยเป็นคดีเดียวกันหรือรวมพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกันได้คดีจึงไม่อยู่ในบังคับของ
ป.อ. มาตรา ๙๑(๒)
0 ความคิดเห็น